วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 10 : อยากให้เป็นปีใหม่ทั้งปีทั้งชาติ

      

     
      หากว่าคนเราไม่มีมาตรวัดเวลาหรือนาฬิกา จะรู้มั๊ยว่าปีใหม่มันอยู่ตรงไหน? เราคงตามหาแต่ปีใหม่กันจนไม่รู้จบ.....

     ปีใหม่หวนคืนกลับมาอีกรอบ พฤติกรรมยอดฮิตในช่วงรอยต่อของปีเก่าเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ คือ การสัญญากับตัวเอง หรือคนอื่นๆว่าจะทำโน่นนี้ ที่ยังไม่สำเร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว หรือบางคนถือโอกาสจะปรับนิสัยไม่ดีของตนในปีหน้า

    คิดดูก็แปลกว่าปีใหม่ทั้งโลกมิใช่เวลาเดียวกัน หลายประเทศฉลองปีใหม่ก่อนประเทศไทย และขณะที่ประเทศไทยฉลองปีใหม่ ประเทศอื่นๆยังฉลองตามหลังเราเป็นวันๆ แสดงว่าปีใหม่เป็นเรื่องของใครของเราหรือ? ปีใหม่ดิ้นได้หรือ? ขำๆดีเหมือนกัน....

    สิ่งหนึ่งที่ผมเห็น คือ ทุกๆครั้งที่เดือนปีหมุนเวียนครบรอบปีใหม่  จะเป็นช่วงที่อบอวนไปด้วยความสุข รักครอบครัวมากขึ้น อยากทำบุญมากขึ้น อยากทำดีมากขึ้น มีแต่เรื่องดีๆล่องลอยรอบตัวจนผมแทบสำลักความสุข มันคือ ช่วงเวลาที่สุขสุดๆจริงๆ

   อยากสต๊าฟ สต๊อป หรือแช่แข็งเปีใหม่ให้อยู่อย่างงั้นทั้งปีทั้งชาติสะจริงๆ แต่เพราะเราต้องใช้เวลากำหนดความสุขของเรา เราจึงต้องรอคอยโอกาสสำคัญอย่างปีใหม่เราถึงจะสุขสุดๆได้ แต่ในทางกลับกันหากเราอินกับความรู้สึกถึงขนาดว่าทำทุกวันให้เป็นวันปีใหม่ได้ คงจะดีไม่น้อยเน๊อะ

    ในโอกาสแห่งช่วงปีใหม่ตามปฏิทินสากลก่อนเข้าสู่ปี 2557 นี้ ผมมีความปรารถนาร้องขอกับตนเองว่า ขอให้ทุกๆวันได้รู้จักกับความทุกข์มากขึ้น เพื่อมองให้เห็นความสุขที่แท้จริง แล้วปีหน้าผมเองคงไม่ต้องกังวลกับปีนี้อีกต่อไป

    เพราะพรปีใหม่ที่ผมอยากได้มากที่สุด คือ ผมขอให้แรงสติปัญญามีความเพิ่มพูนส่งผลสู่การระลึกรู้ปัจจุบันขณะได้ในทุกขณะด้วยเทอญ

   ขอสติจงบังเกิดกับทุกท่านในทุกๆวันจากนี้เป็นต้นไป

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 9 : พื้นที่แห่งความสุข


 วันที่ 9
พื้นที่แห่งความสุข

เรายังต้องการพื้นที่แห่งอิสรภาพของเรา เขาเองก็ต้องการเหมือนกัน แต่ทำอย่างไรถึงจะนัดกันมาพบเจอที่พื้นที่แห่งความสุขด้วยกันได้

มหาตมะคานธี มหาบุรุษระดับโลกได้เคยกล่าวไว้ว่า "ทรัพยากรมีเพียงพอสำหรับความจำเป็นของมนุษย์ทุกคนในโลก แต่มีไม่เพียงพอกับความโลภของมนุษย์เพียงหนึ่งคน" มานั่งคิดทบทวนให้ลึก ตอบโจทย์ได้อีกหลายอย่างในสังคมไทยในปัจจุบัน

ความอยาก ความต้องการของทุกคนมีเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากัน มีแล้วก็อยากมีอีก มีน้อยอย่าได้เพิ่ม อย่างพระท่านว่า ความต้องการของมนุษย์ถมมหาสมุทรทั้งโลกก็ยังไม่พอ

หากนำความสุขไปยึดติดกับการมีมากเกินไป เราจะมองไม่เห็นหัวใคร ขณะที่เรามี เราสุขแต่เคยมองดูไมว่า คนอื่นเขาทุกข์เพราะเรากำลังเบียดบังเขาหรือเปล่า? 

เริ่มต้นด้วยความมีให้พอ มีเท่าที่จำเป็น เราจะได้มีพื้นที่ให้คนอื่นเขาได้ยืนบ้าง และเมื่อเรามีพื้นที่ให้คนอื่นๆได้ยืน เราจะพบว่า ความสุขเกิดจากการตระหนักรู้ในหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ปรับจูนความอยากเข้าสู่โซนพอเพียง เปิดพื้นที่แห่งความสุขให้ทุกคนได้ยืนอยู่ด้วยกัน

เริ่มตั้งแต่วันนี้ กับการร่วมมือกันสร้างพื้นที่แห่งความสุขให้เกิดขึ้นจริง

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 8 : โปรดอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ

วันที่ 8
โปรดอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ

เรื่องเล็กน้อยที่เรามักละเลย มันมักจะแสดงผลให้เห็นเมื่อเกิดปัญหาใหญ่ และนั้น คือ ความผิดพลาดแบบสะสมที่เราไม่ใส่ใจมันเอง โทษใครไม่ได้....

เห็นเพียงปรากฎการณ์ เราดูมันยิ่งใหญ่ อยากได้ อยากเป็นเหมือนสิ่งที่เราเห็น ความรู้สึกที่อินไปกับสิ่งนั้นๆ คิดในใจว่า ถ้าเป็นเราละ?  (แล้วก็ถอนหายใจแบบประมาณวีาชาตินี้จะเป็นแบบนั้นไม่ได้)

เคยคิดไมว่า ก่อนจะเกิดสิ่งต่างๆที่ยิ่งใหญ่ ย่อมต้องเริ่มจากสิ่งเล็กๆก่อน กำแพงเมืองจีนเกิดจากการรวมตัวของผงธุรีดินที่อัดกันเป็นก้อนแข็ง ร่างกายของเราเกิดจากเซลล์เล็กๆนับแสนล้านเซลล์ และความสำเร็จเริ่มจากก้าวแรกที่เราตัดสินใจที่จะสำเร็จ

เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ เราอาจอิ่มเอมกับมันได้ไม่นานหากเดินถึงจุดหมายที่สำเร็จแล้ว แต่เวลาที่ใช้เดินทางไปสู่เป้าหมายใช้มากกว่า แต่กลับถูกมองข้าม

สิ่งเล็กๆระหว่างทาง คือ ความงดงามที่เราควรเก็บรับ ซาบซึ้งและขอบคุณ ถึงแม้ว่ามันจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่โปรดอย่ามองข้าม
@ สิ่งเล็กๆที่ยังอยู่ข้างคุณตอนที่คุณทุกข์สุดๆ
  @ สิ่งเล็กๆที่ไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นคำพูดให้กำลังใจ จากคนจริงใจในตอนที่คุณต้องการมัน
@ สิ่งเล็กที่คุณกอดแล้วมีกำลังใจไปต่อได้
@ สิ่งเล็กๆที่คุณได้ทำเพื่อคนอื่นแต่รู้สึกลึกถึงการให้อย่างแท้จริง
@ สิ่งเล็กๆที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่คุณก็ขาดสิ่งนั้นไม่ได้
@ และยังมีสิ่งเล็กๆอีกมากมายที่คุณอาจจะหลงลืมระหว่างทางที่เดินมา

โปรดอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ ทบทวนตั้งแต่วันนี้ แล้วท่านจะไม่เสียใจเลยที่คิดถึงสิ่งเหล่านั้น




วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่7 : "เวลา" ช่างยุติธรรมนัก

วันที่ 7
"เวลา"ช่างยุติธรรมนัก

อย่าล้อเล่นกับเวลา เพราะ เวลาไม่ปราณีต่อใครที่ล้อเล่นด้วย แต่เวลากลับเมตตาต่อคนที่เห็นคุณค่ามากกว่า

หลายคนบ่นไม่มีเวลา ขอเวลามากกว่านี้ เวลายังงั้นยังงี้ ทั้งๆที่มาตรวัดเวลาเต็มที่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงเหมือนกัน

เวลาเท่ากันแต่ความหมายของเวลาขึ้นอยู่กับคุณคือใคร? คุณกำลังทำอะไร? เคยได้ยินมาว่าเวลาหนึ่งนาทีของคนใกล้ตาย กับเวลาหนึ่งนาทีของคนที่เบื่อหน่ายต่อโลกใบนี้แต่ยังมีลมหายใจอยู่มันต่างกันมากเลยทีเดียว จริงไม?

ไอสไตน์เคยกล่าวไว้น่าสนใจว่า "วางมือบนเตาร้อนๆสักหนึ่งนาที ดูมันเนิ่นนานกว่าเวลาที่อยู่ใกล้กับสาวสวยหนึ่งชั่วโมง" ฟังดูขำแต่ก็น่าคิด

จริงๆแล้วเวลาเป็นเทพแห่งความยุติธรรมสุดๆ แต่มีหลายคนต่อรองกับเวลามากเกินไปจนสุดท้ายก็มิได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากนัก แต่บางคนมองเวลาทุกวินาทีเป็นสินทรัพย์อันมีค่าหากใช้เป็นมันก็คือสิ่งที่งอกเงยมิรู้จบ

เวลายุติธรรมแต่อยู่ที่เราจะยุติธรรมกับเวลาหรือไม่
เริ่มเห็นคุณค่าของเวลาตั้งแต่วันนี้

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 6 : คุณค่าของบทเรียน

วันที่ 6
คุณค่าของบทเรียน
บทเรียนจะไร้ค่า หากมองเมินบทเรียนแล้วไปสนใจเสียงนกกา

การใช้ชีวิตอาจพบเรื่องดีๆบ้าง เรื่องแย่ๆบ้าง เป็นธรรมดา เดินไปสดุดรากไม้ เราโมโหถึงกับไปตัดต้นไม้ นึกขึ้นได้ เมื่อตอนเด็กเวลาวิ่งชนโต๊ะร้องไห้แงๆ แม่เดินไปตีโต๊ะ แปลก?
เราอาจะเก็บรับแต่เรื่องดีๆของชีวิตมากเกินไป จนกลายเป็นคนโลกสวย ละเลยเรื่องแย่ๆทั้งๆที่มันก็ คือ เรื่องที่เกิดสลับกับเรื่องดีๆตลอดเวลา 

ต่อไปนี้ลองหันมาสนใจเรื่องแย่ๆบ้าง เรื่องที่เราทุกข์กับมันสุดๆ เรื่องที่คิดว่าเป็นอุปสรรคหินๆ จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ ผมมักเรียกมันว่า " บทเรียน" 

หากเราปล่อยปละละเลย "บทเรียน" บ่อยๆ เราจะสังเกตว่า ปัญหาเดิมๆจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก และดูจะแย่ลงทุกครั้งที่เกิดขึ้นมา นั้นหมายความว่า เราไม่เคยเห็นคุณค่าของบทเรียนเลย

แต่หากเราให้ความสนใจกับบทเรียน เราจะพบว่ามันมีคุณค่าเปล่งประกาย ยังกับว่าเราได้พบเข้ากับ " เพรชในหัวคางคก"(จากคำพุทธทาส) เข้าให้แล้ว

จงใส่ใจกับทุกบทเรียนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วเราจะได้มานั่งผิดหวังกับความผิดซ้ำซากจนไม่อยากอภัยให้ตัวเองอีกเลย เรียนรู้ซะแต่วันนี้สิครับ


วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 5 : ฮอร์โมนแห่งความสุข

วันที่ 5
ฮอร์โมนแห่งความสุข

ลองคิดดูว่าถ้าฮอร์โมนแห่งความสุขมันวิ่งพล่าน แพร่ซ่านในร่างกายเราทุกวัน มันจะดีขนาดไหน?
       เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมมีความสุข และยิ้มได้ทั้งวัน วันนี้เป็นวันพ่อ ก็จริงแต่ความรู้สึกมันมากกว่านั้นอีก

ลองทบทวนหน่อยแล้วกัน 
เริ่มจากตื่นแต่เช้า ขับรถด้วยความสุข ใครปาดหน้ายังไม่โกรธ จิตใจมุ่งมั่นกับสัญญาที่จะซื้อจักรยานให้ลูกสาว และพาครอบครัวไปกินข้าวข้างนอกแบบเลี้ยงกันเล็กๆ ไม่หรูหราแต่มีความสุข ตกเย็นพาลูกสาวและภรรยาไปร่วมงานจุดเทียนชัยถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขับรถทั้งวันแต่ลืมความเหนื่อยสนิท


ฮอร์โมนแห่งความสุข ใช่เลย ผมคิดว่าต้องเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข
ฮอร์โมนแห่งความสุขจะทำให้เรา ทำงานได้ทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทำให้เรามองอุปสรรคเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ และยิ่งไปกว่านั้นมันจะทำให้เราค้นพบว่า พลังแห่งความสุขมีผลต่อความสำเร็จอย่างมหาศาล
ฮอร์โมนแห่งความสุขที่แท้ จะทำงานได้อย่างเต็มที่เมื่อเรารู้จักบริโภคการเสียสละ รู้จักการให้โดยไม่หวังผล แม้จะเป็นการเริ่มต้นด้วยน้อยนิด แต่เมื่อหยดน้ำแห่งการให้ได้รวมกันจนมากพอ จะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน
ทุกครั้งที่ผมเห็นภาพพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัว ผมจะจุกแทบอก พูดไม่ออก และถึงกับน้ำตาคลอ ท่านเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างแท้จริง ไม่แปลกเลยที่ทำไมนักข่าวชาวเกาหลี ยกย่องท่านว่า เป็นพระพุทธเจ้าเดินดิน

จงหล่อเลี้ยงฮอร์โมนแห่งความสุข ด้วยการให้
ให้คำชี้แนะในทางที่ดี
ให้ทางที่ไม่ประมาท
ให้ความสามัคคีในหมู่คณะ
ให้ส่วนที่เขาขาด
ให้โกาส
ให้อภัย
และให้เพื่อให้

เริ่มให้กันตั้งแต่วันนี้เลยครับ

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 4 : ขอบคุณในความไม่พร้อม

วันที่ 4 ขอบคุณในความไม่พร้อม

คิดดูว่าถ้าทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ แล้วพบเจอความสมบูรณ์แบบทั้งหมด จะมีอะไรสนุกๆให้เราค้นหาละเนีย
เคยตื่นมาพร้อมกับเสียงบ่น กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราทำไมไม่รวย? จะได้ไม่ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า จะได้ไม่ต้องทำงานนอนใช้เงินอยู่ที่บ้าน ทุกอย่างรอบตัวเหมือนดูไม่พร้อม เหมือนดูมันบกพร่องไปหมด แต่เชื่อไมครับว่า ถึงมีแต่บ่น มันก็เติมเต็มสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

ในทางกลับกัน หากเราแปลงความขาดหรือความไม่พร้อมให้เป็นเชื้อเพลิง เติมพลังฝัน สร้างความท้าทายความเป็นมนุษย์ผู้ฝึกได้ของเรา ให้ลุกออกจากเตียงเพื่อไปเปลี่ยนแปลงโลก มันจะดีแค่ไหน ไม่ต้องรอฮี่โร่ นานเกินไปที่จะทำแบบนั่น ก็เป็นฮี่โร่ในสไตล์ของเราซะเลย...เป็นไงละทีนี้

เศรษฐีระดับโลกเกิดมาจากความไม่พร้อม ความขาดแคลนทั้งนั้น เขาใช้สิ่งเหล่านี้อย่างถูกทาง ไม่นำมาบั่นทอน ทิ่มแทงตัวเอง เขาคิดแค่ว่าถ้าขาดก็ต้องเติม เติมๆๆๆๆ จนกว่าตัวเองจะพอใจ เติมให้คุณค่าตนเองเพิ่มมากขึ้น จนเรื่องเงินกลายเป็นเรื่องเล็ก คุณค่าของงานเป็นเรื่องใหญ่

จงขอบคุณในความไม่พร้อม ที่ทำให้เราได้เติมเต็มอยู่ตลอดเวลา ทำให้เวลาทุกวินาทีมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องไปสนใจเรื่อง ของความสมบูรณ์แบบที่ดูเหมือนว่าหาได้ยากในโลกใบนี้ แต่หันมาสนใจวันนี้ว่า สิ่งที่เราไม่พร้อม เราจะทำให้พร้อมได้อย่างไร? ดีกว่าไม?

ไม่พร้อม ก็จงเตรียมให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ ไม่มี ก็ทำให้มีด้วยมือเราได้
        
         เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยครับ


วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 3 : ขี่ม้ารอบค่าย (ซะบ้าง)

วันที่ 3
ขี่ม้ารอบค่าย(ซะบ้าง)
ก้มมอง จ้องเข้าไปจนหน้าติดกับปัญหา แกะไม่ออก ร้องแง้ๆ แล้วสุดท้ายก็หาทางออกไม่ได้
ใครรู้บ้างว่าปัญหามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ที่แน่ๆมันเกิดมาพร้อมเสียงร้องแง้ๆ ตั้งแต่ออกจากท้องแม่แน่นอนหรืออาจจะก่อนหน้านั้นอีก? 

มนุษย์เป็นสัตว์ขี้เหงา อยู่คนเดียวนานๆไม่ได้ จริงไม? ต้องมีการรวมกลุ่มเพื่อความอยู่รอด และเมื่อได้รวมกลุ่มและทำอะไรสักกะอย่างด้วยกัน ฉันคิดอย่างนั้น เธอคิดอย่างงี้ ฉันคิดที เธอคิดสองที ปัญหาเกิดขึ้นโดยมิได้นัดหมายอีกครั้ง......

ในกลุ่มเดิมๆของเรา สังคมเดิมที่เราคุ้นเคยเห็นกันจนเบื่อ คุ้นเคยกันแบบรู้ทางกัน แต่แปลกว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้น บางครั้งก็แก้ไม่ตก ตีไม่แตก บางปัญหาถกกันหัวจะแตกก็คิดกันไม่ออก จ้องหน้ากันไปมาแล้วยิ่งเครียดเพราะคิดไม่ออกเหมือนกัน

เปรียบแล้วเหมือนกับเราเอาหัวสุมติดกันต่อจิ๊กซอ มีแต่จิ๊กซอร์ตัวเดิมๆที่อยู่ในมือ แค่เปลี่ยนกันไปมา เมื่อไหร่จะต่อกันครบละครับคุณพี่ เอาหัวออกจากกันถอยห่างให้ไกลออกไป ขี่ม้าเรียบค่ายมองให้เห็นจิ๊กซอร์ตัวอื่นๆบ้าง มองให้เห็นมุมอื่นๆบ้าง จะดีไม?

บางทียืนคุยกันดีๆแก้ปัญหาไม่ออกสักที แต่พอตีลังกาคุยกันกลับเห็นทางออก อืม.....น่าคิด

ปะ.... ไปขี่มากัน ฮี่ก๊อบๆ......วันนี้เลย
   


วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันที่ 2 : กำแพงที่พอกหนา

วันที่ 2
กำแพงที่พอกหนา
รอแต่เขาลืมตาแต่ตัวเองยังหลับตาตกลงจะเห็นความดีกันป่าวเนี่ยยยย 
ไม่มีทางจะให้ผู้ชายในโลกชอบผู้หญิงคนเดียวกัน และนั้นก็ดีที่สุดแล้วที่เป็นแบบนั้น ไม่งั้นผมคงต้องโสดไปจนตาย 555555
จริงๆความต่างมันน่าจะมีมาตั้งแต่กำเนิดจักรวาลนี้ แต่ไหงเรายังมอง "ความต่าง" เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับเรา ร้ายกว่านั้น คือ การใช้ความต่างทำร้ายกันและกัน

คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ จริงไม? ถ้าทุกคนในโลกหล่อเหมือนกันหมด ผมก็หมดความหมาย ไม่มีคำว่าหล่อ เพราะหมดตัวเปรียบเทียบ ธรรมชาติช่างฉลาดที่สร้างความต่างให้เกิดขึ้น เราก็เลยมีทางของเรา แบรนด์ของเรา แนวๆๆๆๆๆ

หากไม่ยอมรับความต่าง ใช้ความต่างผิดวิธี เปรียบก็เหมือนเรากำลังสร้างกำแพงที่พอกหนา ยึดเหนี่ยวด้วยคอนกรีตอคติ ฉาบหน้าด้วยปูนแห่งความเกลียดชัง ความชอบธรรมในมือเรา อาจจะไม่ใช่ในมือเขา ความจริงคือความจริง และคนเรามีดีและเลวปนกันไป พยายามมองให้เห็นกระดาษขาวที่มีพื้นที่มากกว่า จุดดำเล็กๆกันบ้างเถิดครับ

มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ย่อมมีความต้องการที่มีชีวิตที่ดีขึ้นโดยไม่เบียดบังคนอื่น สิ่งมราชีวิตอื่นๆเช่นกัน จริงๆแล้วกำแพงที่พอกหน้าไม่เคยมีจริงหากท่านไม่สร้างมันขึ้นมาเอง ทลายกำแพงในใจออกสู่โลกที่ทุกคน "ใช่" เหมือนกัน บนโลกที่มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน มีสันติภาพเดียวกันเถิดครับ

ลงมือทำตั้งแต่วันนี้


วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันที่ 1 : ความสุขโดยตรง

วันที่ 1
ความสุขโดยตรง
แหมมมมม เดินอ้อมตั้งนานแท้ที่จริงความสุขอยู่ที่ปลายจมูกนี้เองงงง 
คนเรานี้ แปลกนะ เกิดมาอยากมีแต่ความสุข ปัดทุกข์ทิ้ง มองทุกข์เป็นของเหม็น ยี้กันจนตาหยี่ แต่ทำไม๊ ทำไม ชอบอนุญาติให้ความทุกข์มากองอยู่เต็มสองมือ จนสูงขึ้น สูงขึ้น สุดท้ายก็บังตามองอะไรไม่เห็น

ถามตรงๆว่าใครอนุญาติให้ความทุกข์ขึ้นมาอยู่ในมือ หรืออยู่บนบ่าเราถ้าไม่ใช่เรา?
เคยไมไปในทางที่ไม่เคยไป เดินอ้อมตั้งนาน แท้ที่จริงถ้าเรารู้ทาง มันใกล้แค่นี้เอง บ่นตัวเองอีก "โฮ้ยยย โง่อยู่ตั้งนาน" ไม่เป็นไร จ่ายค่าโง่แลกความฉลาดอิๆๆๆ อันนี้ไม่เท่าไหร่นะ แต่มาทางเดิมยังเดินอ้อมอีกอยู่นั้นหมายความว่ากระไรเนี่ยยยย?

ทุกคนปรารถนาความสุข แต่ทำไมชอบเดินอ้อมๆหลบๆหลีกหนีความทุกข์ไปเรื่อย ซ้ำร้ายหลอกตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองทำ คือ สุขที่แท้ ตกหลุมพรางแห่งมายาคติ จนขึ้นจากหลุมพรางไม่ได้ บางคนไม่อยากขึ้นมาด้วยซ้ำ กลับติดสุขในหลุมพรางนั้น จริงๆหนทางแห่งความสุขโดยตรงมันอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ทำไมเราถึงปฏิเสธสิ่งนั้น?

@ สุขโดยตรงตั้งแต่ลงมือทำงาน มิใช่รอเงินเดือนออก
@ สุขโดยตรงที่ได้รักใครสักคน ไม่ใช่รอให้ใครรักก่อน
@ สุขโดยตรงที่ได้แบ่งปัน ไม่ใช่รอคอยจากเขาก่อน
@ สุขโดยตรงที่ได้ตอบแทนคุณ ไม่ใช่รอให้เขาจากไปก่อน

ความสุขโดยตรงที่เราสร้างได้เอง ไม่ต้องอ้อมให้เสียเวลา เพราะเวลาช่างสั้นนัก
เริ่มจากวันนี้ วินาทีนี้เลย