วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันที่ 15 ความสุขของคนไม่ได้นอน

ความสุขที่ต่อเติมจากการมอบสิ่งดีๆให้คนอื่น คือ ความสุขที่บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆ คือ อิ่มกับความสุขนั้นจัง

      ความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตของผมที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย คือ การชายตามองไปที่รอยยิ้มที่มุมปากขณะที่ลูกสาวตัวเล็กและภรรยาของผมหลับอยู่

       ผมชอบหลับทีหลัง เพราะต้องแน่ใจว่า ลูกสาวหลับสนิท วางใจได้ ไม่กลิ้งตกเตียงร้อยเปอร์เซนต์ แต่นั้นก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อคอยระแวดระวังไม่ให้ลูกสาวจอมดิ้นดิสโก้ ตกลงไปนอนกองกับพื้น นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเป็นกังวลใจอยู่พอสมควร

       แน่นอนว่า การที่เราต้องตื่นกลางดึกเป็นระยะๆทำลายความสุขสบายกับการนอนพอสมควร แต่นั้นไม่ทำให้ผมหงุดหงิดนัก แต่ผมกลับมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้นอย่างสม่ำเสมอ นี้หรือที่เขาเรียกว่า "ความรัก"

     ผมเลยย้อนกลับมาคิดว่า นี่ละหนาคนเราถ้ามี "ความรัก" เกิดขึ้นกับอะไรสักอย่างแล้ว เราย่อมจะทุ่มเทให้กับมันอย่างไม่รู้เหน็ด รู้เหนื่อย เราพร้อมที่จะลืมวันเวลาทุกอย่างเพื่อมอบความดีทั้งหมดให้กับสิ่งที่เรารัก และความสุขที่เกิดจากการที่เราเต็มใจมอบให้ เต็มใจทำให้ โดยหวังแค่ว่า เขาจะมีความสุขจากสิ่งที่เราทำให้ น่าจะทำให้ความรักเติบโตแบบไม่รู้จบได้

     ลูกสาวได้สอนให้ผมได้รู้จักการสร้างความสุขแบบเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่(สำหรบผมนะ) และที่ครั้งก่อนผมนอนผมจะบรรจงจูบบนหน้าผากเธอ ยิ้ม และเอนตัวหลับไป
 
      แม้จะหลับไม่ทันฝัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งตื่น คือ ความรักที่แท้จริง 
       
       เราทุกคนร่วมกันสร้าง "ความรัก" ได้ตั้งแต่วันนี้

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันที่ 14 หญิงชราผู้เฝ้าต้นสะเดา

  การให้ ย่อมทำให้เกิดการแตกยอด งอกเงยแบบไม่รู้จบ

            หลายคนอาจไม่ชอบความขมของสะเดา แต่สำหรับสะเดาต้นนี้ รับรองว่ายากที่หลายคนจะปฏิเสธ เพราะมันคือ สะเดาหวานนนนน

            เนิ่นนานตามสมมติในท้องเรื่อง มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีชื่อว่า หมู่บ้านสะเดาหวานเห็นชื่อหมู่บ้านก็แปลกแสนแปลก แต่ชื่อนี้ได้มากจากสะเดาต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่หลังบ้านติดริมสระของหญิงชราคนหนึ่งท้ายหมู่บ้าน ซึ่งมีต้นนี้ต้นเดียวในหมู่บ้านจริงๆ ขนาดที่ใครคิดจะนำไปขยายพันธุ์ที่อื่นๆก็ไม่สามารถเจิญเติบโตได้

            ยอดของสะเดาต้นนี้เมื่อใครได้เก็บไปเพื่อจะทำน้ำปลาหวานจะทุ่นแรงได้เยอะ เพราะไม่ต้องทำน้ำปลาหวาน หาแต่ปลาย่างหอมๆมาก็เป็นอันกินกันได้อย่างมีความสุข ดูแล้วก็ปานว่า สะเดาต้นนี้เกิดจากสายพันธุ์สะเดาบวกน้ำปลาหวาน อะไรก็ปานนั้น

            ของดีๆแบบต้นสะเดาหวาน มีไว้ให้หวง สำหรับคนใจแคบแบบหญิงชราผู้นี้  วันๆแกมัวแต่นั่งเฝ้าไม่ไปไหน กล้วคนจะมาแอบขโมยสะเดาหวานไปลิ้มรสที่บ้าน ลำพังแกเองก็ไม่ได้ชอบนักหรอกกับความผิดธรรมชาติของสะเดาพันธุ์นี้ นานๆไปเด็ดกินที แต่ขอให้แกได้หวง คืนนั้นก็นอนหลับแล้ว

            นานวันผ่านไปสะเดาหวานกลับมีอาการแปลกๆ เต็มไปด้วยยอดแก่ เหี่ยวลงเหี่ยวลงทุกที ทั้งๆที่หญิงชรานั่งเฝ้า รดน้ำ ใส่ปุ๋ยทุกวัน แตทำไมๆ หนอถึงเป็นเช่นนี้ หญิงชรากุ้มใจกับเรื่องนี้จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เกิดอาการไข้ขึ้นจึงต้องเข้าไปนอนในบ้าน

            3 วันผ่านไปหญิงชราฟื้นไข้ สิ่งแรกที่นึกขึ้นได้ขณะพยุงตังลุกขึ้นได้ คือ การไปดูต้นสะเดาหวานสุดรัก เมื่อได้พบกับสะเดาหวาน หญิงชราลมแทบจับ  เพราะไม่เหลือใบให้เห็นแม้แต่น้อย หญิงชราทรุดลงกับพื้นด้วยความเสียงใจ ได้แต่บ่นพร่ำพรัมกับคราบน้ำตาว่า "ไม่น่าเลย"

            แต่แล้วมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หญิงชราต้องเงยหน้าขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ ชาวบ้านแถวๆนั้นนำอาหาร ข้าวสาร และเครื่องใช้มามอบให้กับหญิงชราโดยไม่ทราบสาเหตุ หญิงชราหยุดร้องให้และถามออกไปว่า เอามาให้ข้าทำไม? ชาวบ้านคนหนึ่งจึงไขความกระจ่างว่า ก็ตอนที่ยายป่วยอยู่ จู่ๆใบสะเดาหวานก็สลัดตัวเองร่วงหล่นหมด เราอยู่กันแถวนี้ก็เลยมาเก็บไปกินเองบ้าง ขายบ้าง ได้ราคาดีมากแม้จะเป็นใบแก่ เพราะเป็นของแปลกมั๊ง พวกเราเองพอได้อะไรดีๆจากสะเดาหวานต้นนี้จึงอยากตอบแทนคุณยายบ้าง
            
        หญิงชรายังยืนงง แต่สายตาเหลือบไปเห็น ต้นสะเดาหวานกำลังผลิใบอ่อนอีกครั้ง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

           สะเดาหวานไม่ได้มีไว้กินคนเดียว  สะเดาหวานเสียสละโดยการให้ เพื่อเกิดสิ่งที่ดีกว่าที่ไม่รู้จบ เหมือนอย่างคนเรา บางครั้งอาจจะต้องรู้จักให้ก่อน เพื่อแตกยอดออกไปสู่ความงดงามที่ไม่รู้จบได้

            เริ่มให้นับจากวันนี้……


วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันที่ 13 : สมดุลของการให้และการรับ

ความจริงแล้วการให้กับการรับก็คือลูกตุ้มที่อยู่คนละด้านคอยถ่วงไว้ไม่ให้โลกนี้เอียงจนเสียสมดุล
ในช่วงเทศกาลแห่งความรักเวียนมาถึงอีกครั้ง หลายคนก็อาจจะตื่นเต้นไปกับเทศกาล ทั้งๆที่ "ความรัก" มันเกิดขึ้นได้ทุกวัน ไม่ต้องรอเทศกาล จริงไม?

เมื่อพูดถึงเรื่องความรัก จริงๆแล้วมันกินความมากไปกว่า เรารักแฟน เรารักครอบครัว เรารักสังคม เรารักโลกใบนี้ เรารักจักรวาลนี้ เรารักชีวิตนี้  จริงๆผมว่าความรักมันไร้ขอบเขตนะ หรือใครเคยเห็นขอบเขตของความรักบ้าง ถ่ายรูปมาให้ผมดูทีเถอะ

นึกถึงความรัก ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง "การให้" และแน่นอนว่า เมื่อมีการให้ ก็ต้องมี"การรับ" ซึ่งสองเรื่องนี้มักพบว่ามีอาการโครงเครงเสียสมดุลอยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นปรากฎการณ์แห่งความเสียสูญเป็นปัญหาครอบครัว สังคม เศรษฐกิจไป

การให้แบบไม่ถูกจุด ถูกความต้องการของผู้รับ กลายเป็นไร้ประโยชน์ไป
การให้ที่มากเกินไป ทำให้การรับทำลายความเข้มแข็งต่อการพึ่งตนเอง
การให้แบบไม่ตั้งใจ ทำให้การรับถูกทอดทิ้ง เสียดายทรัพยากรที่ทุ่มเท
การให้ที่น้อยเกินไป ทำให้การรับไม่มีแรงจูงใจจะไปต่อ
การให้กับคนรับที่ไม่เห็นคุณค่า ก็ยิ่งไม่พบประโยชน์ใดๆเลย

ฉะนั้นการให้และการรับควรจะถูกปรับให้เกิดจุดตัดแห่งความสมดุล แบบคุณwin ผมก็win จะดีกว่าไม?
อย่าให้การให้และการรับแบบไร้ประสิทธิภาพ ทำลายสายสัมพันธ์ที่เราสร้างกันมานานแสนนาน เปิดใจให้กว้างพร้อมจะให้และรับแบบเต็มใจและเกิดประโยขน์สูงสุด อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเคยกล่าวไว้ว่า "การให้จะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อ ก่อนให้ ระหว่างให้และหลังให้ มีความเต็มใจและตั้งใจจะให้เสมอ"

เมื่อเป็นผู้ให้ที่ดี ก็จงเป็นผู้รับที่ดีเช่นกัน
เริ่มตั้งแต่วันนี้


วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

วันที่ 12 : ข้ออ้างของชายหน้าขาวว๊อก

      จะรู้ได้ไงว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักวาลท้ั้งจักวาล อาจมีดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆอีกก็ได้

       ตื่นตอนเช้า หาวนิดหนึ่ง  จู่ๆปิ๊งแว๊บขึ้นมาเรื่องของสิ่งที่น่ากลัว อย่างหนึ่งที่อยู่ในตัวเรา คือ กลัวว่าโลกนี้ไม่มีอะไรให้เรียนรู้อีกแล้ว กลัวว่าเราคิดว่าเราแน่ เราดีกว่าคนอื่นในโลกนี้ หนักกว่านั้น คือ เราคือศูนย์กลางแห่งจักรวาล น่ากลัวมากกกกกกกกกก.....

      วันนี้มีนิทานจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง เพิ่งคิดขึ้นได้ตะกี้
      ไม่ต้องสาธยายไร มาก ไม่ต้องกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขอขึ้นแบบแหวกๆว่า
      ปิ๊งแว็บเมื่อตะกี้ มีชายหนุ่มหน้าตาพอไปวัดไปโบสถ์กับเขาได้ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าหาวอยู่ 3 ครั้ง จากนั้นก็แต่งตัวเดินออกไปจากบ้างแบบไม่เกรงใจใคร สำรวจแล้วไม่ลืมใส่กางเกงและไม่ลืมรูดซิปก็เดินออกจากบ้างไป ตั้งป้อมในใจว่าทุกคนที่ฉั้นเดินผ่านถือว่าขี้เหร่กว่าฉันหมด ว่าแล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

      ขณะที่ชายคนนี้เดินผ่านใครก็แล้วแต่ กลับพบปรากฎการณ์และคำพูดที่เป็นคำคำเดียวกันว่า "ไอ้หน้าขาวเอ๊ย" แล้วก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ และปิดจมูก คนแรกไม่เท่าไหร่ คนต่อๆไปทำเช่นนั้น ชายหน้าขาวก็ยังพลิกสถานกาณ์มองโลกในแง่ดีแบบผิดกาละ คิดว่า คนเหล่านั้นหัวเราะในความหน้าตาดีของเขา และที่สำคัญ คือ คำว่าไอ้หน้าขาวว๊อก คือ คำชม และที่ปิดจมูกเพราะทนกลิ่นความหล่อของเขาไม่ไหว 5555555 เทพไมละครับคนคนนี้

     จบ
     นิทานสั้นๆเรื่องนี้ ให้แง่คิดว่า..........
     (หยุดให้คิดสัก 3 นาที)
 
     1 นาที ผ่านไป
     2 นาที ผ่านไป
     3 นาที ผ่านไป

เฉลย.........
       ว่า ตื่นนอนตอนเช้า อย่างแรกที่ควรจะทำ คือ ส่องกระจกดูตัวเองให้ถี่ถ้วน แปรงฟันขัดเกลานิสัยไม่ดีของเมื่อวาน และหัดมองอะไรให้เห็นตามความเป็นจริงซะทีเถอะ อย่าลืมเอาสติมาฟาดกระหม่อมตัวเอง แล้วบอกกับตัวเองว่า "เราตื่นแล้ววววววว"

       จบจริงๆครับ
      วันนี้คุณมีสติแล้วหรือยัง?



วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

วันที่ 11 : อย่ารอเจ้าชายขี่ม้าขาวอีกเลย

วันที่ 11 : อย่ารอเจ้าชายขี่ม้าขาวอีกเลย

โอกาสมีมากล้นเหลือสำหรับผู้ที่รู้จักสร้าง แต่ไม่เคยมีสำหรับผู้ที่หายใจไปวันๆ

ในวันหนึ่งที่ผมนอนดูการ์ตูนเจ้าหญิงกับลูกสาว จู่ๆผมก็เอ่ยปากบอกเธอว่า "ลูกเอ่ย โตขึ้นอย่ามัวแต่รอเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยอยู่อีกเลย เสียเวลาเปล่าอย่างหนูก็เป็นเจ้าชายได้"

โดยนัยแล้วผมค่อนข้างหงุดหงิดที่เห็นเจ้าหญิงนอนสลบสไหลแบบไม่รู้สึกตัว รอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาวจัดการกับแม่มด แล้วมาจบที่การจูจุ๊บเจ้าหญิงให้ฟื้นตื่นขึ้นมาเจอเจ้าชายจบฉากแค่นี้ก่อน ก่อนที่ทุกอย่างมันจะโลกสวยกว่านี้

หากเปรียบการเป็นเจ้าชาย คือ โอกาส โอกาสที่ได้ถือดาบมีอำนาจต่อสู้กับอุปสรรคอย่างแม่มดร้ายอย่างไม่เกรงขาม โอกาสที่จะครองสมบัติมหาศาล และโอกาสอื่นๆอีกมากมาย แต่เจ้าหญิงทำไมต้องนอนไร้สติเพื่อรอโอกาสนั้นอยู่อย่างนั้น ไม่ปลุกตัวเองกลายร่างเป็นโอกาส หรือเจ้าชายเพื่อลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหา อุปสรรค ถือดาบฟาดฟันให้มันอยู่หมัดด้วยมือของตัวเองซะละ อย่าแช่แข็งตัวเองนอนนิ่งแบบเจ้าหญิงนานเกินไป นานจนคิดไม่ออกว่าจะลุกขึ้นมาแบบไหน ซ้ำร้ายไปกว่านัน คือ ควากลัวที่ลุกขึ้นมาแล้วเจอกับความจริงที่รับไม่ได้ ทั้งๆที่มันคือ ความจริงและแถมยังเป็นความจริงของโอกาสอีกต่างหาก

ถ้าเรามั่นใจขนาดนี้แล้ว อย่าลังเลที่จะเป็นเพียงเจ้าหญิงอยู่เลย กลายร่างเป็นเจ้าชายซะเอง คือ หนทางที่จะทำให้ชีวิตที่อยู่ในกำมือของตัวเองให้ดีขึ้นได้

เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ครับ


วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 10 : อยากให้เป็นปีใหม่ทั้งปีทั้งชาติ

      

     
      หากว่าคนเราไม่มีมาตรวัดเวลาหรือนาฬิกา จะรู้มั๊ยว่าปีใหม่มันอยู่ตรงไหน? เราคงตามหาแต่ปีใหม่กันจนไม่รู้จบ.....

     ปีใหม่หวนคืนกลับมาอีกรอบ พฤติกรรมยอดฮิตในช่วงรอยต่อของปีเก่าเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ คือ การสัญญากับตัวเอง หรือคนอื่นๆว่าจะทำโน่นนี้ ที่ยังไม่สำเร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว หรือบางคนถือโอกาสจะปรับนิสัยไม่ดีของตนในปีหน้า

    คิดดูก็แปลกว่าปีใหม่ทั้งโลกมิใช่เวลาเดียวกัน หลายประเทศฉลองปีใหม่ก่อนประเทศไทย และขณะที่ประเทศไทยฉลองปีใหม่ ประเทศอื่นๆยังฉลองตามหลังเราเป็นวันๆ แสดงว่าปีใหม่เป็นเรื่องของใครของเราหรือ? ปีใหม่ดิ้นได้หรือ? ขำๆดีเหมือนกัน....

    สิ่งหนึ่งที่ผมเห็น คือ ทุกๆครั้งที่เดือนปีหมุนเวียนครบรอบปีใหม่  จะเป็นช่วงที่อบอวนไปด้วยความสุข รักครอบครัวมากขึ้น อยากทำบุญมากขึ้น อยากทำดีมากขึ้น มีแต่เรื่องดีๆล่องลอยรอบตัวจนผมแทบสำลักความสุข มันคือ ช่วงเวลาที่สุขสุดๆจริงๆ

   อยากสต๊าฟ สต๊อป หรือแช่แข็งเปีใหม่ให้อยู่อย่างงั้นทั้งปีทั้งชาติสะจริงๆ แต่เพราะเราต้องใช้เวลากำหนดความสุขของเรา เราจึงต้องรอคอยโอกาสสำคัญอย่างปีใหม่เราถึงจะสุขสุดๆได้ แต่ในทางกลับกันหากเราอินกับความรู้สึกถึงขนาดว่าทำทุกวันให้เป็นวันปีใหม่ได้ คงจะดีไม่น้อยเน๊อะ

    ในโอกาสแห่งช่วงปีใหม่ตามปฏิทินสากลก่อนเข้าสู่ปี 2557 นี้ ผมมีความปรารถนาร้องขอกับตนเองว่า ขอให้ทุกๆวันได้รู้จักกับความทุกข์มากขึ้น เพื่อมองให้เห็นความสุขที่แท้จริง แล้วปีหน้าผมเองคงไม่ต้องกังวลกับปีนี้อีกต่อไป

    เพราะพรปีใหม่ที่ผมอยากได้มากที่สุด คือ ผมขอให้แรงสติปัญญามีความเพิ่มพูนส่งผลสู่การระลึกรู้ปัจจุบันขณะได้ในทุกขณะด้วยเทอญ

   ขอสติจงบังเกิดกับทุกท่านในทุกๆวันจากนี้เป็นต้นไป

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 9 : พื้นที่แห่งความสุข


 วันที่ 9
พื้นที่แห่งความสุข

เรายังต้องการพื้นที่แห่งอิสรภาพของเรา เขาเองก็ต้องการเหมือนกัน แต่ทำอย่างไรถึงจะนัดกันมาพบเจอที่พื้นที่แห่งความสุขด้วยกันได้

มหาตมะคานธี มหาบุรุษระดับโลกได้เคยกล่าวไว้ว่า "ทรัพยากรมีเพียงพอสำหรับความจำเป็นของมนุษย์ทุกคนในโลก แต่มีไม่เพียงพอกับความโลภของมนุษย์เพียงหนึ่งคน" มานั่งคิดทบทวนให้ลึก ตอบโจทย์ได้อีกหลายอย่างในสังคมไทยในปัจจุบัน

ความอยาก ความต้องการของทุกคนมีเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากัน มีแล้วก็อยากมีอีก มีน้อยอย่าได้เพิ่ม อย่างพระท่านว่า ความต้องการของมนุษย์ถมมหาสมุทรทั้งโลกก็ยังไม่พอ

หากนำความสุขไปยึดติดกับการมีมากเกินไป เราจะมองไม่เห็นหัวใคร ขณะที่เรามี เราสุขแต่เคยมองดูไมว่า คนอื่นเขาทุกข์เพราะเรากำลังเบียดบังเขาหรือเปล่า? 

เริ่มต้นด้วยความมีให้พอ มีเท่าที่จำเป็น เราจะได้มีพื้นที่ให้คนอื่นเขาได้ยืนบ้าง และเมื่อเรามีพื้นที่ให้คนอื่นๆได้ยืน เราจะพบว่า ความสุขเกิดจากการตระหนักรู้ในหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ปรับจูนความอยากเข้าสู่โซนพอเพียง เปิดพื้นที่แห่งความสุขให้ทุกคนได้ยืนอยู่ด้วยกัน

เริ่มตั้งแต่วันนี้ กับการร่วมมือกันสร้างพื้นที่แห่งความสุขให้เกิดขึ้นจริง